Tuesday, 2 July 2019

Her Majesty


พนันกันได้ว่าถ้าคุณเริ่มอ่านบทความนี้พร้อมๆกับเปิด 'Her Majesty' ไปด้วย เพลงจะจบลงก่อนที่คุณจะอ่านจบ
ลองจินตนาการ: มันคือปีค.ศ. 1969 (พ.ศ. ๒๕๑๒) คุณเพิ่งซื้อแผ่นเสียงชุดใหม่เอี่ยมของ The Beatles มา และเย็นวันนั้น คุณจรดปลายเข็มลงฟังเป็นครั้งแรก คุณรู้ทันทีตั้งแต่รอบแรกที่ฟังว่านี่่คืออัลบัมที่สุดพิเศษอีกชุดของพวกเขา และเมื่อพลิกมาฟังหน้า ๒ คุณตะลึงพรึงเพริดกับความต่อเนื่องอันน่ามหัศจรรย์ของ medley ที่เริ่มตั้งแต่ You Never Give Me Your Money...Sun King...Mean Mr. Mustard... คุณมองไปที่ปกหลังของแผ่นเสียงว่ายังเหลืออีกกี่เพลงกันนะ อ้อ เพลงสุดท้าย ชัดเจนมาก มันชื่อ The End เมื่อจบเสียงสุดท้ายของ The End แล้ว คุณอยากฟังมันอีกรอบทันที แต่ยังรู้สึกดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของ Abbey Road คุณยังนั่งนิ่งๆปล่อยให้แผ่นเสียงหมุนวนต่อไป ราวยี่สิบวินาทีหลังจากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น คุณตกใจอยู่สามวินาที ก่อนจะเข้าใจว่าคุณเจอ The Beatles "เล่น" เข้าให้อีกแล้ว
Her Majesty เป็น hidden track เพลงแรกของโลก ไม่มีการพิมพ์ชื่อเพลงนี้ในปกแผ่นเสียง (ในรุ่นแรกๆ) และมันยังเป็นเพลงที่สั้นที่สุดตลอดกาลของ The Beatles (23 วินาที) คุณอาจจะมองมันว่าเป็นส่วนเกินที่ทำให้ Abbey Road มัวหมอง ทั้งๆที่มันควรจะจบอย่างแสนงามแล้วด้วย The End หรือจะคิดว่ามันเป็นอารมณ์ขันสนุกๆของสี่เต่าทองที่ไม่อยากให้เราจริงจังเกินไป--- อันนี้ก็แล้วแต่คุณจะเลือกวางทัศนคติ แต่อย่างไรก็ตามมันก็อยู่ตรงนั้นแน่ๆ มันคือ เพลงสุดท้ายที่แท้จริงของ The Beatles ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม
มาถึงยุคข้อมูลข่าวสารระดับนี้ ก็คงจะไม่มีใครตื่นเต้นกับ hidden track นี้อีกต่อไป แต่ก็อย่างที่บอก อยากให้คุณลองจินตนาการถึงคนที่ไม่รู้อะไรเลยในยุคนั้น ก็คงจะประหลาดใจดีเหมือนกัน ว่านี่ Beatles มันทำอะไรของมันวะ
แต่จะว่าไป พวกเขาก็เคยเล่นมุกคล้ายๆกันนี้มาแล้วในปี 1967 ใน 'inner groove' ของ Sgt. Pepper เพียงแต่นั่นมันน่าจะไม่นับเป็น"เพลง"ได้
2 กรกฎาคม 1969 พอลมาถึงสตูดิโอเป็นคนแรก เขาถือโอกาสอัดเพลงสั้นๆเพลงนึงก่อนเพื่อนๆจะมาถึง "ผมแต่งเพลงนี้ตอนอยู่สก็อตแลนด์ จำไม่ได้หรอกว่ามันมาได้ยังไง ก็อาจจะแค่แต่งเอาขำๆ" พอลแต่งเพลงนี้เพื่อเป็นเพลงเล็กๆให้เป็นเกียรติแก่ Queen Elizabeth II "มันก็ออกจะตลกนะ เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเพลงอวยเจ้า แต่ก็มีอารมณ์ของความลามปามนิดหน่อย ในแบบทีเล่นทีจริงน่ะ มันเกือบจะเป็นเพลงรักที่มอบให้องค์ราชินีก็ว่าได้" พอลร้องและเล่นกีต้าร์โปร่งคนเดียวสามเทค และเทคสามคือเทคที่ดีที่สุด หลังจากกรอเทปฟังดู เขาพึงพอใจ และเตรียมบรรจุมันไว้ใน The Abbey Road Medley
'Her Majesty' ถูกวางไว้หลัง Mean Mr. Mustard (มีคำว่า Queen ในเนื้อเพลง) และก่อน Polythene Pam แต่ในวันที่ 30 ก.ค. หลังจากเปิด rough mix ของ Medley ฟังแล้ว พอลคิดว่า Her Majesty ไม่เข้าพวก เขาตัดสินใจอย่างเฉียบขาดให้เอามันออกไปจากเมดเลย์เสีย วิศวกรชื่อ John Kurlander รับคำสั่งนั้น และใช้กรรไกรตัด Her Majesty ออกทันที แต่เขาตัดพลาดไปหน่อย ดันติดคอร์ดสุดท้ายของ Mr. Mustard มาด้วย และแถมคอร์ดสุดท้ายของ Majesty ก็ยังติดไปกับ Pam
Kurlander รายงานให้พอลฟังถึงความผิดพลาด แต่พอลบอกว่าไม่เป็นไร เพราะมันเป็นแค่มิกซ์หยาบๆ และสั่งให้เขาโยนเทป Her Majesty นั้นทิ้งไป แต่หลังจากพอลกลับบ้านไปแล้ว ด้วยนโยบายของ EMI ที่จะไม่ทิ้งอะไรไปง่ายๆ Kurlander หยิบเทปส่วนนั้นขึ้นมาจากพื้น แล้วนำมันมาแปะไว้ท้าย edited tape (โดยมี red leader tape คั่นกลางประมาณ 20 วินาที) Her Majesty สถิตย์อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมีการนำเทปไปทำเป็นแผ่นครั่ง
พอลเมื่อได้ยิน 'Her Majesty' ในตำแหน่งใหม่นี้ เขากลับชอบ มันเป็นเซอร์ไพรซ์ที่น่ารัก และเขาตัดสินใจเก็บมันไว้แบบนั้นเป็น 'hidden bonus' ส่วนการที่มันจบแบบกลางอากาศแบบนั้น พอลให้ความเห็นว่า "ก็สมดุลดีแล้ว เพราะเธอขโมยโน้ตสุดท้ายมาจากนายมัสตาร์ด เธอก็ไม่สมควรมีโน้ตสุดท้ายของตัวเอง"
หลายคนเคยจับ Her Majesty มาลองใส่กลับไปที่เดิมแล้วลองฟังดูว่ามันจะ flow ดีไหม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และคิดว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายเลยนะ แต่ถ้าให้เลือกได้ ผมก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วล่ะ

ใครจะรู้ว่าถ้า Her Majesty ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วไปอยู่ตรงนั้น โลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน?

No comments:

Post a Comment